ซอลเฟจ – ทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติ
“ซอลเฟจ” ตามศัพท์หมายถึง ระบบการออกเสียงหรือการร้องเป็นชื่อโน้ตว่า "โด เร มี..." หรือที่เรียกว่า “Sol-fa System” นั่นเอง
“Solfège” เป็นภาษาฝรั่งเศส ในภาษาอิตาเลียนมีรูปว่า “Solfeggio” ส่วนภาษาอังกฤษได้ทับศัพท์ภาษาฝรั่งเศสว่า “Solfege”
ดังนั้น ในภาษาไทยควรทับศัพท์ว่า “ซอลแฟช”, “โซลเฟจโจ” และ “ซอลเฟจ” (หรือ “โซลเฟจ”) ตามลำดับ
นอกจากนั้น “ซอลเฟจ” หมายถึง “วิชาทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติ” (Practical Theory) โดยเป็นการเรียนการสอนทฤษฎีดนตรีที่ทำให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงสัญลักษณ์ทางดนตรีกับเสียงที่แท้จริงเข้าด้วยกันได้ โดยเน้นที่การอ่านและร้องโน้ตต่างๆ
“ซอลเฟจ” ไม่ใช่ทฤษฎีดนตรีที่มีแต่ตัวหนังสือหรือสัญลักษณ์ทางดนตรีเท่านั้น
การเรียนทฤษฎีดนตรีบนกระดานหรือในกระดาษเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ผู้เรียนเข้าถึง “เสียง” ที่แท้จริงได้ ผู้เรียนย่อมไม่เข้าใจว่า “เสียง” กับ “สัญลักษณ์” หรือ “ชื่อ” ต่างๆ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร เช่น
- ไม่เข้าใจว่า โน้ตเขบ็ต 1 ชั้น ต่างกับโน้ตเขบ็ด 2 หรือ 3 ชั้นอย่างไร
หรือ
- ไม่เข้าใจว่าขั้นคู่ 3 เมเจอร์ต่างกับขั้นคู่ 3 ไมเนอร์อย่างไร เป็นต้น
การเรียนว่า
- “โน้ตเขบ็ต 2 ชั้น 2 ตัว มีค่าเท่ากับโน้ตเขบ็ต 1 ชั้น 1 ตัว”
หรือการเรียนว่า
- “ขั้นคู่ 3 เมเจอร์ เป็นขั้นคู่ที่กว้างกว่า ขั้นคู่ 3 ไมเนอร์ อยู่ครึ่งเสียง (Semi-tone)”
เหล่านี้เป็นต้น ย่อมไม่สามารถทำให้ผู้เรียนเข้าใจได้ เข้าทำนอง “รู้จักชื่อแต่ไม่รู้จักตัว”
ความจริงคือ ไม่มีใครสามารถเข้าใจทฤษฎีดนตรีได้โดยการฟังคำอธิบาย!
ซอลเฟจ คือวิชาที่ทำให้ผู้เรียนเข้าใจทฤษฎีดนตรีได้โดยไม่ต้องฟังคำอธิบายต่างๆ เหล่านั้น!
“Solfège” เป็นมากกว่า “Ear training” เพราะเป็นการเรียนทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติโดยตรง
“Ear training” เป็นวิชาสำคัญที่แยกออกมาเป็นอีกวิชาหนึ่งต่างหากจากวิชาทฤษฎีดนตรีบนกระดาน โดยเป็นวิชาที่ทำให้ผู้เรียนสามารถรู้จักเสียงที่แท้จริงได้
ส่วน “Solfège”เป็นวิชาทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติโดยตรง โดยไม่มีการเรียนทฤษฎีดนตรีบนกระดานหรือในกระดาษโดยเฉพาะ
อีกนัยหนึ่ง วิชา Ear training แม้จะเป็นวิชาที่มีการร้องเหมือนกับวิชา Solfège แต่เน้นเรื่องการจำแนกเสียง (และจังหวะ ฯลฯ) เช่น ทำให้ผู้เรียนสามารถบอกได้ว่าคอร์ดที่ได้ยินเป็นคอร์ดเมเจอร์หรือไมเนอร์
ส่วน Sofège เป็นวิชาที่เน้นเรื่องการเชื่อมโยงสัญลักษณ์ทางดนตรีต่างๆ ในกระดาษเข้ากับเสียงที่แท้จริงตั้งแต่เริ่มแรก (ที่เรียนทฤษฎีดนตรี) โดยเน้นที่การอ่าน โน้ต (Sight singing/reading) เป็นหลัก
“ซอลเฟจ” เป็นอุปกรณ์สำคัญที่จะทำให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างรวดเร็วทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ
ในประเทศไทยของเรา (รวมทั้งประเทศอื่นๆ ที่ไม่มีการเรียนการสอนซอลเฟจ) ผู้ที่เรียนดนตรีเข้าใจทฤษฎีดนตรีที่แท้จริงได้โดยการเล่นเครื่องดนตรี
หรืออีกนัยหนึ่ง นักเรียนสามารถเชื่อมโยงสัญลักษณ์ทางดนตรีกับเสียงที่แท้จริงได้ ด้วยการปฏิบัติเครื่องดนตรี
วิธีการนี้แม้จะทำให้ผู้เรียนเข้าใจทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติได้ก็จริง แต่ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้าและไม่กว้างขวาง ทั้งนี้เพราะว่า เมื่อเรียนด้วยเครื่องดนตรีก็ย่อมจะต้องมีเทคนิคของเครื่องดนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย การเรียนทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติพร้อมกับเทคนิคของเครื่องดนตรีจึงเป็นเรื่องยากทั้ง 2 ทาง คือ ยากทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ
ส่วนวิชา “ซอลเฟจ” ตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดที่ว่า การเรียนทฤษฎีดนตรีโดยการร้องย่อมง่ายกว่าการเรียนด้วยเครื่องดนตรีชนิดอื่น เพราะไม่ต้องต้องมีเทคนิคของเครื่องดนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ด้วยเหตุนี้ ประเทศในสหภาพยุโรปส่วนใหญ่จึงแยกวิชาซอลเฟจ ไว้เป็นอีกวิชาหนึ่งต่างหาก ซึ่งเท่ากับว่าในการเรียนดนตรี (ตั้งแต่ระดับเบื้องต้น) ผู้เรียนจะต้องเรียนเป็น 2 วิชา คือ เรียนทั้งวิชาปฏิบัติเครื่องดนตรี และวิชาซอลเฟจ (ทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติ) ไปพร้อมๆ กัน
สำหรับวิชาปฏิบัติเครื่องดนตรีนั้น เมื่อแยกวิชาทฤษฎี (ภาคปฏิบัติ) ออกไปเป็นอีกวิชาหนึ่งต่างหากแล้ว อาจารย์ที่สอนเครื่องดนตรีต่างๆ (เช่น ฟลูต) ก็จะสอนเฉพาะเทคนิคของเครื่องดนตรีชนิดนั้นๆ เพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่ต้องสอนทฤษฎีดนตรีเลย (หรืออาจสอนบ้างเพียงเล็กน้อยตามสมควร) ในการเรียนเครื่องดนตรีนั้น ผู้เรียนเพียงแต่เชื่อมโยงทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติที่ได้เรียนมาแล้วเข้ากับเทคนิคของเครื่องดนตรีของตนเท่านั้น
การเรียนโดยแยกออกเป็น 2 วิชานี้ ย่อมเกิดประโยชน์ต่อการเรียนเทคนิคของเครื่องดนตรีเป็นอย่างมาก เพราะทำให้ผู้เรียนมีความพร้อมหรือมีอิสระที่จะเรียนเทคนิคต่างๆ โดยที่ไม่ติดปัญหาที่ความรู้ทางทฤษฎี
อีกนัยหนึ่ง ผู้เรียนไม่ต้องเรียนเทคนิคเพื่อให้เข้าใจทฤษฎี นั่นเอง
ระบบการเรียนซอลเฟจที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ
ประเทศในสหภาพยุโรปส่วนใหญ่มีการเรียนทฤษฎีดนตรีด้วย “ซอลเฟจ” แต่แต่ละประเทศก็มีระบบการเรียนซอลเฟจที่แตกต่างกันไป ซึ่งจำแนกออกเป็น 2 ระบบใหญ่ๆ คือ
1. Movable Do System ระบบที่ร้องโน้ตตัวแรกของบันไดเสียงหรือกุญแจเสียงด้วย “โด” เสมอไป เช่น ซอลเฟจของประเทศอิตาลี และฮังการี
2. Fixed Do System ระบบที่ร้องโน้ต “โด” ที่แท้จริงว่า “โด” เท่านั้น เช่น ซอลเฟจของประเทศฝรั่งเศส และสเปน
“ซอลเฟจ” กับการเรียนดนตรีระดับเบื้องต้นในประเทศไทย
ในประเทศไทยของเรายังไม่มีการแยกการเรียนวิชาซอลเฟจกับวิชาปฏิบัติเครื่องดนตรีออกจากกันตั้งแต่เริ่มแรกดังเช่นในสหภาพยุโรป ซึ่งอันที่จริงแล้วซอลเฟจเป็นวิชาที่สำคัญกับนักเรียนในชั้นต้นมากกว่าในชั้นอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้อาจารย์ที่สอนเครื่องดนตรีจึงควรต้องสอน "ซอลเฟจ" ไปด้วยในชั่วโมงเรียน โดยอาจเน้นในจุดที่สำคัญเป็นพิเศษสำหรับเครื่องดนตรีชนิดนั้นๆ เช่น สำหรับฟลูต อาจเน้นที่การอ่านกุญแจซอล (Treble Clef) มากว่ากุญแจฟา (Bass Clef) เป็นต้น
« ผู้ที่เรียนวิชาซอลเฟจมาเป็นอย่างดี เพียงแค่เห็นโน้ตเท่านั้นก็จะสามารถได้ยินเสียงที่แท้จริงในใจได้ »
“ซอลเฟจ” ตามศัพท์หมายถึง ระบบการออกเสียงหรือการร้องเป็นชื่อโน้ตว่า "โด เร มี..." หรือที่เรียกว่า “Sol-fa System” นั่นเอง
“Solfège” เป็นภาษาฝรั่งเศส ในภาษาอิตาเลียนมีรูปว่า “Solfeggio” ส่วนภาษาอังกฤษได้ทับศัพท์ภาษาฝรั่งเศสว่า “Solfege”
ดังนั้น ในภาษาไทยควรทับศัพท์ว่า “ซอลแฟช”, “โซลเฟจโจ” และ “ซอลเฟจ” (หรือ “โซลเฟจ”) ตามลำดับ
นอกจากนั้น “ซอลเฟจ” หมายถึง “วิชาทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติ” (Practical Theory) โดยเป็นการเรียนการสอนทฤษฎีดนตรีที่ทำให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงสัญลักษณ์ทางดนตรีกับเสียงที่แท้จริงเข้าด้วยกันได้ โดยเน้นที่การอ่านและร้องโน้ตต่างๆ
“ซอลเฟจ” ไม่ใช่ทฤษฎีดนตรีที่มีแต่ตัวหนังสือหรือสัญลักษณ์ทางดนตรีเท่านั้น
การเรียนทฤษฎีดนตรีบนกระดานหรือในกระดาษเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ผู้เรียนเข้าถึง “เสียง” ที่แท้จริงได้ ผู้เรียนย่อมไม่เข้าใจว่า “เสียง” กับ “สัญลักษณ์” หรือ “ชื่อ” ต่างๆ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร เช่น
- ไม่เข้าใจว่า โน้ตเขบ็ต 1 ชั้น ต่างกับโน้ตเขบ็ด 2 หรือ 3 ชั้นอย่างไร
หรือ
- ไม่เข้าใจว่าขั้นคู่ 3 เมเจอร์ต่างกับขั้นคู่ 3 ไมเนอร์อย่างไร เป็นต้น
การเรียนว่า
- “โน้ตเขบ็ต 2 ชั้น 2 ตัว มีค่าเท่ากับโน้ตเขบ็ต 1 ชั้น 1 ตัว”
หรือการเรียนว่า
- “ขั้นคู่ 3 เมเจอร์ เป็นขั้นคู่ที่กว้างกว่า ขั้นคู่ 3 ไมเนอร์ อยู่ครึ่งเสียง (Semi-tone)”
เหล่านี้เป็นต้น ย่อมไม่สามารถทำให้ผู้เรียนเข้าใจได้ เข้าทำนอง “รู้จักชื่อแต่ไม่รู้จักตัว”
ความจริงคือ ไม่มีใครสามารถเข้าใจทฤษฎีดนตรีได้โดยการฟังคำอธิบาย!
ซอลเฟจ คือวิชาที่ทำให้ผู้เรียนเข้าใจทฤษฎีดนตรีได้โดยไม่ต้องฟังคำอธิบายต่างๆ เหล่านั้น!
“Solfège” เป็นมากกว่า “Ear training” เพราะเป็นการเรียนทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติโดยตรง
“Ear training” เป็นวิชาสำคัญที่แยกออกมาเป็นอีกวิชาหนึ่งต่างหากจากวิชาทฤษฎีดนตรีบนกระดาน โดยเป็นวิชาที่ทำให้ผู้เรียนสามารถรู้จักเสียงที่แท้จริงได้
ส่วน “Solfège”เป็นวิชาทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติโดยตรง โดยไม่มีการเรียนทฤษฎีดนตรีบนกระดานหรือในกระดาษโดยเฉพาะ
อีกนัยหนึ่ง วิชา Ear training แม้จะเป็นวิชาที่มีการร้องเหมือนกับวิชา Solfège แต่เน้นเรื่องการจำแนกเสียง (และจังหวะ ฯลฯ) เช่น ทำให้ผู้เรียนสามารถบอกได้ว่าคอร์ดที่ได้ยินเป็นคอร์ดเมเจอร์หรือไมเนอร์
ส่วน Sofège เป็นวิชาที่เน้นเรื่องการเชื่อมโยงสัญลักษณ์ทางดนตรีต่างๆ ในกระดาษเข้ากับเสียงที่แท้จริงตั้งแต่เริ่มแรก (ที่เรียนทฤษฎีดนตรี) โดยเน้นที่การอ่าน โน้ต (Sight singing/reading) เป็นหลัก
“ซอลเฟจ” เป็นอุปกรณ์สำคัญที่จะทำให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างรวดเร็วทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ
ในประเทศไทยของเรา (รวมทั้งประเทศอื่นๆ ที่ไม่มีการเรียนการสอนซอลเฟจ) ผู้ที่เรียนดนตรีเข้าใจทฤษฎีดนตรีที่แท้จริงได้โดยการเล่นเครื่องดนตรี
หรืออีกนัยหนึ่ง นักเรียนสามารถเชื่อมโยงสัญลักษณ์ทางดนตรีกับเสียงที่แท้จริงได้ ด้วยการปฏิบัติเครื่องดนตรี
วิธีการนี้แม้จะทำให้ผู้เรียนเข้าใจทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติได้ก็จริง แต่ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้าและไม่กว้างขวาง ทั้งนี้เพราะว่า เมื่อเรียนด้วยเครื่องดนตรีก็ย่อมจะต้องมีเทคนิคของเครื่องดนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย การเรียนทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติพร้อมกับเทคนิคของเครื่องดนตรีจึงเป็นเรื่องยากทั้ง 2 ทาง คือ ยากทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ
ส่วนวิชา “ซอลเฟจ” ตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดที่ว่า การเรียนทฤษฎีดนตรีโดยการร้องย่อมง่ายกว่าการเรียนด้วยเครื่องดนตรีชนิดอื่น เพราะไม่ต้องต้องมีเทคนิคของเครื่องดนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ด้วยเหตุนี้ ประเทศในสหภาพยุโรปส่วนใหญ่จึงแยกวิชาซอลเฟจ ไว้เป็นอีกวิชาหนึ่งต่างหาก ซึ่งเท่ากับว่าในการเรียนดนตรี (ตั้งแต่ระดับเบื้องต้น) ผู้เรียนจะต้องเรียนเป็น 2 วิชา คือ เรียนทั้งวิชาปฏิบัติเครื่องดนตรี และวิชาซอลเฟจ (ทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติ) ไปพร้อมๆ กัน
สำหรับวิชาปฏิบัติเครื่องดนตรีนั้น เมื่อแยกวิชาทฤษฎี (ภาคปฏิบัติ) ออกไปเป็นอีกวิชาหนึ่งต่างหากแล้ว อาจารย์ที่สอนเครื่องดนตรีต่างๆ (เช่น ฟลูต) ก็จะสอนเฉพาะเทคนิคของเครื่องดนตรีชนิดนั้นๆ เพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่ต้องสอนทฤษฎีดนตรีเลย (หรืออาจสอนบ้างเพียงเล็กน้อยตามสมควร) ในการเรียนเครื่องดนตรีนั้น ผู้เรียนเพียงแต่เชื่อมโยงทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติที่ได้เรียนมาแล้วเข้ากับเทคนิคของเครื่องดนตรีของตนเท่านั้น
การเรียนโดยแยกออกเป็น 2 วิชานี้ ย่อมเกิดประโยชน์ต่อการเรียนเทคนิคของเครื่องดนตรีเป็นอย่างมาก เพราะทำให้ผู้เรียนมีความพร้อมหรือมีอิสระที่จะเรียนเทคนิคต่างๆ โดยที่ไม่ติดปัญหาที่ความรู้ทางทฤษฎี
อีกนัยหนึ่ง ผู้เรียนไม่ต้องเรียนเทคนิคเพื่อให้เข้าใจทฤษฎี นั่นเอง
ระบบการเรียนซอลเฟจที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ
ประเทศในสหภาพยุโรปส่วนใหญ่มีการเรียนทฤษฎีดนตรีด้วย “ซอลเฟจ” แต่แต่ละประเทศก็มีระบบการเรียนซอลเฟจที่แตกต่างกันไป ซึ่งจำแนกออกเป็น 2 ระบบใหญ่ๆ คือ
1. Movable Do System ระบบที่ร้องโน้ตตัวแรกของบันไดเสียงหรือกุญแจเสียงด้วย “โด” เสมอไป เช่น ซอลเฟจของประเทศอิตาลี และฮังการี
2. Fixed Do System ระบบที่ร้องโน้ต “โด” ที่แท้จริงว่า “โด” เท่านั้น เช่น ซอลเฟจของประเทศฝรั่งเศส และสเปน
“ซอลเฟจ” กับการเรียนดนตรีระดับเบื้องต้นในประเทศไทย
ในประเทศไทยของเรายังไม่มีการแยกการเรียนวิชาซอลเฟจกับวิชาปฏิบัติเครื่องดนตรีออกจากกันตั้งแต่เริ่มแรกดังเช่นในสหภาพยุโรป ซึ่งอันที่จริงแล้วซอลเฟจเป็นวิชาที่สำคัญกับนักเรียนในชั้นต้นมากกว่าในชั้นอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้อาจารย์ที่สอนเครื่องดนตรีจึงควรต้องสอน "ซอลเฟจ" ไปด้วยในชั่วโมงเรียน โดยอาจเน้นในจุดที่สำคัญเป็นพิเศษสำหรับเครื่องดนตรีชนิดนั้นๆ เช่น สำหรับฟลูต อาจเน้นที่การอ่านกุญแจซอล (Treble Clef) มากว่ากุญแจฟา (Bass Clef) เป็นต้น
« ผู้ที่เรียนวิชาซอลเฟจมาเป็นอย่างดี เพียงแค่เห็นโน้ตเท่านั้นก็จะสามารถได้ยินเสียงที่แท้จริงในใจได้ »