ซอลเฟจกับการเล่นเครื่องดนตรีซอลเฟจ (Solfège) – ทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติ
สิ่งที่จะทำให้การเรียนดนตรีง่ายขึ้น โดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ (รวมทั้งผู้ใหญ่) ที่เพิ่งเริ่มเรียนดนตรี คือ วิชาซอลเฟจ (Solfège) ซึ่งเป็นวิชาทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติ (Practical Theory)
การเรียนทฤษฎีดนตรีบนกระดานหรือในกระดาษเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ผู้เรียนเข้าถึง “เสียง” ที่แท้จริงได้ ผู้เรียนย่อมไม่เข้าใจว่า “เสียง” กับ “สัญลักษณ์” หรือ “ชื่อ” ต่างๆ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร เช่น ไม่สามารถเข้าใจ “โน้ตเขบ็ดหนึ่งชั้น” ด้วยคำอธิบายว่า “โน้ตเขบ็ดหนึ่งชั้นมีค่าเท่ากับครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวดำ”
ดนตรีเป็นเรื่องของเสียง การเรียนทฤษฎีดนตรีโดยการฟังคำอธิบายจึงไม่ทำให้เข้าใจทฤษฎีดนตรีได้จริงๆ
วิธีที่จะทำให้เข้าใจทฤษฎีดนตรี มี อยู่ 2 แนวทาง คือ
1. ด้วยการเล่นเครื่องดนตรี
คือ ผู้เรียนได้ฟังครูเล่นให้ฟังก่อนแล้วเล่นตาม ตัวอย่างเช่น ครูเล่นโน้ตตัวดำและโน้ตเขบ็ดหนึ่งชั้นให้นักเรียนฟังและให้ทำตาม หากนักเรียนทำได้ถูกต้องแสดงว่านักเรียนเข้าใจอย่างแท้จริงว่า โน้ตเขบ็ดหนึ่งชั้นเป็นอย่างไร แตกต่างกับโน้ตตัวดำอย่างไร เป็นต้น ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่เกี่ยวกับคำอธิบาย โดยในเบื้องแรกครูอาจไม่ต้องมีโน้ตให้นักเรียนดูเลยก็ได้ ให้นักเรียนเข้าใจเฉพาะเสียงไปก่อน แล้วจึงมาเชื่อมโยงกับสัญลักษณ์ (โน้ตต่างๆ) พร้อมทั้งชื่อต่างๆ ในภายหลัง
แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่ถือว่ายาก เพราะเป็นวิธีที่ต้องมีเทคนิคของเครื่องดนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นักเรียนจึงต้องพยายามเรียนเทคนิคเพื่อให้เข้าใจทฤษฎีดนตรี อีกนัยหนึ่งนักเรียนต้องเรียนทั้งเทคนิคของเครื่องดนตรีและทฤษฎีดนตรีไปพร้อมกัน
การที่ต้องพยายามเล่นให้ถูกเทคนิคด้วย ต้องเล่นให้เข้าใจเรื่องความยาวสั้นของโน้ตเป็นต้นด้วยในเวลาเดียวกัน ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่ายเลย
2. ด้วยการเรียนซอลเฟจ (Solfège)
ซอลเฟจ (Solfège) เป็นการเรียนทฤษฎีดนตรีด้วยการร้อง (และปรบมือ) วิธีนี้จะทำให้นักเรียนไม่ต้องพะวงเรื่องเทคนิคของเครื่องดนตรี ทำให้ผลสัมฤทธิ์ของการเรียนเป็นไปอย่างรวดเร็วและไม่ยากลำบากทั้งด้านการเรียนทฤษฎี และเทคนิคของเครื่องดนตรี
“ซอลเฟจ” ตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดที่ว่า การเรียนทฤษฎีดนตรีโดยการร้องย่อมง่ายกว่าการเรียนด้วยเครื่องดนตรี เพราะไม่ต้องมีเทคนิคของเครื่องดนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ในขณะที่การเรียน “เทคนิค” ก็จะง่ายขึ้นเพราะไม่ต้องพะวงเรื่องทฤษฎีดนตรี เช่น ไม่ต้องพยายามทำความเข้าใจว่า โน้ตเขบ็ดหนึ่งชั้นต่างกับโน้ตตัวดำอย่างไร ในขณะที่เล่นเครื่องดนตรี เป็นต้น
การร้อง (Solfège) เป็นพื้นฐานของการเล่นเครื่องดนตรีทุกอย่าง
ความจริง “การร้อง” เป็นพื้นฐานของการเล่นเครื่องดนตรีทุกอย่าง นักดนตรีอาชีพทุกคนร้องในใจขณะที่เล่นเครื่องดนตรี!!
ในการนี้ ถ้าร้องในใจเพี้ยนก็จะเล่นเพี้ยน ถ้าร้องในใจผิดจังหวะก็จะเล่นผิดจังหวะ
ใครๆ ไม่ควรคิดว่าเล่นเครื่องดนตรีแล้วไม่จำเป็นต้องร้อง หรือไม่ต้องเรียนซอลเฟจ!!!
ผู้ที่เรียนไวโอลินควรฝึกให้เล่นได้เสียงไม่เพี้ยน
เนื่องจากเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย (ที่ไม่มีเฟรตเหมือนกีตาร์) เป็นเครื่องดนตรีที่จะต้องฝึกเป็นพิเศษให้เล่นได้เสียงตรง ไม่เพี้ยน
การเรียนวิชา “ทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติ (Solfège)” ในเรื่องการฝึกร้องระดับเสียงต่างๆ นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากเป็นพิเศษสำหรับเด็ก (และผู้ใหญ่) ที่เริ่มเรียนไวโอลินและเครื่องสายอื่นๆ เพราะถ้าร้องได้เสียงตรงก็จะเล่นไวโอลินได้ไม่เพี้ยน
จากประสบการณ์ของผู้เขียน พบว่ามีเด็กจำนวนไม่น้อย (รวมทั้งผู้ใหญ่ที่เป็นนักดนตรีสมัครเล่น) ที่เล่นไวโอลินแล้วเสียงเพี้ยน การเล่นดนตรีแล้วได้แต่เสียงเพี้ยนๆ ตลอดเวลาน่าจะเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายต่อหูของผู้เล่นเองและหูของคนอื่นหรือไม่?
ผู้ที่เล่นเครื่องสายควรตั้งปณิธานว่าเราจะเล่นให้ได้เสียงตรง 100% ให้จงได้!
สิ่งที่จะทำให้การเรียนดนตรีง่ายขึ้น โดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ (รวมทั้งผู้ใหญ่) ที่เพิ่งเริ่มเรียนดนตรี คือ วิชาซอลเฟจ (Solfège) ซึ่งเป็นวิชาทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติ (Practical Theory)
การเรียนทฤษฎีดนตรีบนกระดานหรือในกระดาษเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ผู้เรียนเข้าถึง “เสียง” ที่แท้จริงได้ ผู้เรียนย่อมไม่เข้าใจว่า “เสียง” กับ “สัญลักษณ์” หรือ “ชื่อ” ต่างๆ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร เช่น ไม่สามารถเข้าใจ “โน้ตเขบ็ดหนึ่งชั้น” ด้วยคำอธิบายว่า “โน้ตเขบ็ดหนึ่งชั้นมีค่าเท่ากับครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวดำ”
ดนตรีเป็นเรื่องของเสียง การเรียนทฤษฎีดนตรีโดยการฟังคำอธิบายจึงไม่ทำให้เข้าใจทฤษฎีดนตรีได้จริงๆ
วิธีที่จะทำให้เข้าใจทฤษฎีดนตรี มี อยู่ 2 แนวทาง คือ
1. ด้วยการเล่นเครื่องดนตรี
คือ ผู้เรียนได้ฟังครูเล่นให้ฟังก่อนแล้วเล่นตาม ตัวอย่างเช่น ครูเล่นโน้ตตัวดำและโน้ตเขบ็ดหนึ่งชั้นให้นักเรียนฟังและให้ทำตาม หากนักเรียนทำได้ถูกต้องแสดงว่านักเรียนเข้าใจอย่างแท้จริงว่า โน้ตเขบ็ดหนึ่งชั้นเป็นอย่างไร แตกต่างกับโน้ตตัวดำอย่างไร เป็นต้น ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่เกี่ยวกับคำอธิบาย โดยในเบื้องแรกครูอาจไม่ต้องมีโน้ตให้นักเรียนดูเลยก็ได้ ให้นักเรียนเข้าใจเฉพาะเสียงไปก่อน แล้วจึงมาเชื่อมโยงกับสัญลักษณ์ (โน้ตต่างๆ) พร้อมทั้งชื่อต่างๆ ในภายหลัง
แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่ถือว่ายาก เพราะเป็นวิธีที่ต้องมีเทคนิคของเครื่องดนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นักเรียนจึงต้องพยายามเรียนเทคนิคเพื่อให้เข้าใจทฤษฎีดนตรี อีกนัยหนึ่งนักเรียนต้องเรียนทั้งเทคนิคของเครื่องดนตรีและทฤษฎีดนตรีไปพร้อมกัน
การที่ต้องพยายามเล่นให้ถูกเทคนิคด้วย ต้องเล่นให้เข้าใจเรื่องความยาวสั้นของโน้ตเป็นต้นด้วยในเวลาเดียวกัน ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่ายเลย
2. ด้วยการเรียนซอลเฟจ (Solfège)
ซอลเฟจ (Solfège) เป็นการเรียนทฤษฎีดนตรีด้วยการร้อง (และปรบมือ) วิธีนี้จะทำให้นักเรียนไม่ต้องพะวงเรื่องเทคนิคของเครื่องดนตรี ทำให้ผลสัมฤทธิ์ของการเรียนเป็นไปอย่างรวดเร็วและไม่ยากลำบากทั้งด้านการเรียนทฤษฎี และเทคนิคของเครื่องดนตรี
“ซอลเฟจ” ตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดที่ว่า การเรียนทฤษฎีดนตรีโดยการร้องย่อมง่ายกว่าการเรียนด้วยเครื่องดนตรี เพราะไม่ต้องมีเทคนิคของเครื่องดนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ในขณะที่การเรียน “เทคนิค” ก็จะง่ายขึ้นเพราะไม่ต้องพะวงเรื่องทฤษฎีดนตรี เช่น ไม่ต้องพยายามทำความเข้าใจว่า โน้ตเขบ็ดหนึ่งชั้นต่างกับโน้ตตัวดำอย่างไร ในขณะที่เล่นเครื่องดนตรี เป็นต้น
การร้อง (Solfège) เป็นพื้นฐานของการเล่นเครื่องดนตรีทุกอย่าง
ความจริง “การร้อง” เป็นพื้นฐานของการเล่นเครื่องดนตรีทุกอย่าง นักดนตรีอาชีพทุกคนร้องในใจขณะที่เล่นเครื่องดนตรี!!
ในการนี้ ถ้าร้องในใจเพี้ยนก็จะเล่นเพี้ยน ถ้าร้องในใจผิดจังหวะก็จะเล่นผิดจังหวะ
ใครๆ ไม่ควรคิดว่าเล่นเครื่องดนตรีแล้วไม่จำเป็นต้องร้อง หรือไม่ต้องเรียนซอลเฟจ!!!
ผู้ที่เรียนไวโอลินควรฝึกให้เล่นได้เสียงไม่เพี้ยน
เนื่องจากเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย (ที่ไม่มีเฟรตเหมือนกีตาร์) เป็นเครื่องดนตรีที่จะต้องฝึกเป็นพิเศษให้เล่นได้เสียงตรง ไม่เพี้ยน
การเรียนวิชา “ทฤษฎีดนตรีภาคปฏิบัติ (Solfège)” ในเรื่องการฝึกร้องระดับเสียงต่างๆ นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากเป็นพิเศษสำหรับเด็ก (และผู้ใหญ่) ที่เริ่มเรียนไวโอลินและเครื่องสายอื่นๆ เพราะถ้าร้องได้เสียงตรงก็จะเล่นไวโอลินได้ไม่เพี้ยน
จากประสบการณ์ของผู้เขียน พบว่ามีเด็กจำนวนไม่น้อย (รวมทั้งผู้ใหญ่ที่เป็นนักดนตรีสมัครเล่น) ที่เล่นไวโอลินแล้วเสียงเพี้ยน การเล่นดนตรีแล้วได้แต่เสียงเพี้ยนๆ ตลอดเวลาน่าจะเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายต่อหูของผู้เล่นเองและหูของคนอื่นหรือไม่?
ผู้ที่เล่นเครื่องสายควรตั้งปณิธานว่าเราจะเล่นให้ได้เสียงตรง 100% ให้จงได้!