บันไดเสียงและอาร์เปจโจ กับการพัฒนาด้านเทคนิค
“Scale” มีศัพท์บัญญัติเป็นภาษาไทยว่า “บันไดเสียง” หมายถึง โน้ต 5-12 ตัวที่เรียงกันตามลำดับจากต่ำไปสูงหรือจากสูงไปต่ำ1
ส่วน “Arpeggio” ควรทับศัพท์ภาษาอิตาเลียนว่า “อาร์เปจโจ” หมายถึง โน้ตตัวที่ 1, 3, 5 ของคอร์ด ที่นำมาเล่นเรียงกันทีละตัวจากต่ำไปสูงหรือจากสูงไปต่ำ2*
นอกจากนั้น โน้ตตัวที่ 1, 3, 5 ของคอร์ดที่นำมาเล่นเรียงกันทีละตัวโดยไม่ได้เรียงลำดับจากต่ำไปสูงหรือจากสูงไปต่ำ แต่เรียงสลับกัน มีชื่อเรียกว่า “Broken Arpeggio3” ควรเรียกทับศัพท์ว่า “โบรเคนอาร์เปจโจ”
พึงทราบว่า ในบทความนี้ คำว่า “Arpeggio-อาร์เปจโจ” หมายรวมถึง “Broken Arpeggio-โบรเคนอาร์เปจโจ” ด้วย
บันไดเสียงและอาร์เปจโจ ทั้ง 2 อย่างนี้จัดเข้าใน แบบฝึกหัดเฉพาะ (Pure Exercises)
ทำไมจึงต้องซ้อมบันไดเสียงและอาร์เปจโจ?
เพราะบันไดเสียงและอาร์เปจโจพบมากใน แบบฝึกหัดประยุกต์ (Applied Exercises) และ บทเพลง (Repertoires) ต่างๆ โดยเฉพาะแบบฝึกหัดประยุกต์และบทเพลงที่เป็น “Tonal Etude/Music”
อีกนัยหนึ่ง การซ้อมบันไดเสียงและอาร์เปจโจทำให้เราเล่นแบบฝึกหัดประยุกต์และบทเพลงต่างๆ โดยเฉพาะที่เป็น “Tonal Etude/Music” ได้ดี
เนื่องจากดนตรียุโรปตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 จนถึงสมัยศตวรรษที่ 19 ล้วนแต่เป็นดนตรีแบบ “Tonal Music” ซึ่งเป็นดนตรีที่มีกุญแจเสียงเมเจอร์และไมเนอร์ เราจึงสามารถพบบันไดเสียงและอาร์เปจโจทั้งที่เป็นเมเจอร์และไมเนอร์ต่างๆ (รวมทั้งบันไดเสียงโครมาติก) ในดนตรีประเภทนี้เสมอ กล่าวให้ง่ายคือ บันไดเสียงและอาร์เปจโจเป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นพื้นฐานของดนตรีประเภทนี้
ด้วยสาเหตุดังกล่าวนี้ การซ้อมบันไดเสียงและอาร์เปจโจจึงทำให้เราสามารถเล่นแบบฝึกหัดและบทเพลงต่างๆ ที่เป็น “Tonal” ได้ง่ายขึ้น เพราะทำให้เราไม่ต้องซ้อมอีก
อันที่จริงแล้วการซ้อมบันไดเสียงและอาร์เปจโจไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะกับการเล่นดนตรีและแบบฝึกหัดประเภท “Tonal” เท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อการเล่นดนตรีและแบบฝึกหัดประเภท “Atonal” ด้วย เพราะแม้จะไม่มีบันไดเสียงเมเจอร์หรือไมเนอร์ใน “Atonal Music” แต่ก็ยังมีบันไดเสียงแบบอื่นที่ไม่มีรูปแบบตายตัวอยู่เช่นเดียวกัน การซ้อมบันไดเสียงเมเจอร์และไมเนอร์ตลอดจนอาร์เปจโจต่างๆ จึงเป็นอุปการะกับการเล่นดนตรีประเภทนี้ด้วย
ประโยชน์โดยสรุปของการซ้อมบันไดเสียงและอาร์เปจโจอย่างสม่ำเสมอ
1. ทำให้เราไม่ต้องซ้อมอีก เมื่อพบเทคนิคประเภทนี้ในบทเพลงและแบบฝึกหัดต่างๆ
2. ทำให้เราสามารถควบคุมเทคนิคต่างๆ ทั้ง เทคนิครูปปาก (Embouchure Technique) และ เทคนิคนิ้ว (Finger Technique) ได้ดี
การซ้อมบันไดเสียงและอาร์เปจโจจะทำให้เกิดความแม่นยำของรูปปากที่เหมาะสมกับระดับเสียงต่างๆ และทำให้สามารถควบคุมนิ้วมือทุกนิ้วในการเปิดปิดแป้นกดต่างๆ อย่างแม่นยำและสม่ำเสมอ
ซ้อมบันไดเสียงและอาร์เปจโจอย่างไร?
การซ้อมบันไดเสียงและอาร์เปจโจมีหลักเกณฑ์และวิธีการดังนี้
1. ซ้อมให้ช้าที่สุด ความเร็วที่เหมาะสมในเบื้องแรกคือโดยเล่นเป็นโน้ตเขบ็ต 1 ชั้น ()
2. ซ้อมกับเครื่องจับจังหวะ (Metronome) โดยเล่นให้ตรงจังหวะอย่างแม่นยำทั้งจังหวะยกและจังหวะตก
3. อย่าดูโน้ต หมายถึงต้องจำให้ได้ ซ้อมให้เหมือนท่องสูตรคูณ
4. ควรเล่นเป็น "Legato" ก่อน เพราะจะทำให้เราสามารถรู้ได้ทันทีถ้านิ้วแต่ละนิ้วเปิดปิดแป้นกดได้ไม่แม่นยำจนทำให้เกิดเสียงอื่นแทรกเข้ามา ต่อเมื่อชำนาญแล้วจึงควรซ้อม Articulations** แบบอื่นๆ ต่อไป
5. อย่าเกร็งนิ้ว ทำนิ้วให้เบาๆ และไม่ควรยกนิ้วสูง จำไว้ว่าถ้าเราเกร็งนิ้วเราจะไม่สามารถเล่นเร็วได้เลย ไม่มีประโยชน์ถ้าซ้อมโดยการเกร็งนิ้ว (อย่าซ้อมดีกว่า)
6. ทำให้โน้ตทุกตัวสม่ำเสมอกัน ซึ่งหมายถึงการกดและปล่อยนิ้วแต่ละนิ้วในเวลาที่เหมาะสม
7. อย่าเกร็งปาก ยิ่งเป่าเสียงสูงขึ้น ยิ่งจะต้องออกแรงโดยใช้กล้ามเนื้อบริเวณท้อง (Support) มากขึ้น ถ้าเราออกแรงที่ท้องไม่พอ เราจะไปออกแรงที่ปากแทน คือจะทำให้เกิดการบีบปากเพื่อเป่าเสียงสูง
8. พยายามอย่าให้เสียงเพี้ยน โดยปรกติ โน้ตตัวที่ 7 (Leading Note) ของทั้งบันไดเสียงเมเจอร์และไมเนอร์จะต้องสูงขึ้นกว่าปรกติเล็กน้อย และโน้ตตัวที่ 3 (Mediant) ของบันไดเสียงเมเจอร์จะต้องต่ำลงเล็กน้อย เป็นต้น นอกจากนั้นทุกคนมีแนวโน้มที่จะเป่าเสียงต่ำเพี้ยนต่ำและเป่าเสียงสูงเพี้ยนสูง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง
9. มีความเข้าใจอย่างถูกต้องว่า “การที่เราจะสามารถเล่นเร็วได้ไม่ใช่เพราะการพยายามเล่นให้เร็ว แต่เพราะเราเล่นช้าได้สมบูรณ์แบบต่างหาก”
“Scale” มีศัพท์บัญญัติเป็นภาษาไทยว่า “บันไดเสียง” หมายถึง โน้ต 5-12 ตัวที่เรียงกันตามลำดับจากต่ำไปสูงหรือจากสูงไปต่ำ1
ส่วน “Arpeggio” ควรทับศัพท์ภาษาอิตาเลียนว่า “อาร์เปจโจ” หมายถึง โน้ตตัวที่ 1, 3, 5 ของคอร์ด ที่นำมาเล่นเรียงกันทีละตัวจากต่ำไปสูงหรือจากสูงไปต่ำ2*
นอกจากนั้น โน้ตตัวที่ 1, 3, 5 ของคอร์ดที่นำมาเล่นเรียงกันทีละตัวโดยไม่ได้เรียงลำดับจากต่ำไปสูงหรือจากสูงไปต่ำ แต่เรียงสลับกัน มีชื่อเรียกว่า “Broken Arpeggio3” ควรเรียกทับศัพท์ว่า “โบรเคนอาร์เปจโจ”
พึงทราบว่า ในบทความนี้ คำว่า “Arpeggio-อาร์เปจโจ” หมายรวมถึง “Broken Arpeggio-โบรเคนอาร์เปจโจ” ด้วย
บันไดเสียงและอาร์เปจโจ ทั้ง 2 อย่างนี้จัดเข้าใน แบบฝึกหัดเฉพาะ (Pure Exercises)
ทำไมจึงต้องซ้อมบันไดเสียงและอาร์เปจโจ?
เพราะบันไดเสียงและอาร์เปจโจพบมากใน แบบฝึกหัดประยุกต์ (Applied Exercises) และ บทเพลง (Repertoires) ต่างๆ โดยเฉพาะแบบฝึกหัดประยุกต์และบทเพลงที่เป็น “Tonal Etude/Music”
อีกนัยหนึ่ง การซ้อมบันไดเสียงและอาร์เปจโจทำให้เราเล่นแบบฝึกหัดประยุกต์และบทเพลงต่างๆ โดยเฉพาะที่เป็น “Tonal Etude/Music” ได้ดี
เนื่องจากดนตรียุโรปตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 จนถึงสมัยศตวรรษที่ 19 ล้วนแต่เป็นดนตรีแบบ “Tonal Music” ซึ่งเป็นดนตรีที่มีกุญแจเสียงเมเจอร์และไมเนอร์ เราจึงสามารถพบบันไดเสียงและอาร์เปจโจทั้งที่เป็นเมเจอร์และไมเนอร์ต่างๆ (รวมทั้งบันไดเสียงโครมาติก) ในดนตรีประเภทนี้เสมอ กล่าวให้ง่ายคือ บันไดเสียงและอาร์เปจโจเป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นพื้นฐานของดนตรีประเภทนี้
ด้วยสาเหตุดังกล่าวนี้ การซ้อมบันไดเสียงและอาร์เปจโจจึงทำให้เราสามารถเล่นแบบฝึกหัดและบทเพลงต่างๆ ที่เป็น “Tonal” ได้ง่ายขึ้น เพราะทำให้เราไม่ต้องซ้อมอีก
อันที่จริงแล้วการซ้อมบันไดเสียงและอาร์เปจโจไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะกับการเล่นดนตรีและแบบฝึกหัดประเภท “Tonal” เท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อการเล่นดนตรีและแบบฝึกหัดประเภท “Atonal” ด้วย เพราะแม้จะไม่มีบันไดเสียงเมเจอร์หรือไมเนอร์ใน “Atonal Music” แต่ก็ยังมีบันไดเสียงแบบอื่นที่ไม่มีรูปแบบตายตัวอยู่เช่นเดียวกัน การซ้อมบันไดเสียงเมเจอร์และไมเนอร์ตลอดจนอาร์เปจโจต่างๆ จึงเป็นอุปการะกับการเล่นดนตรีประเภทนี้ด้วย
ประโยชน์โดยสรุปของการซ้อมบันไดเสียงและอาร์เปจโจอย่างสม่ำเสมอ
1. ทำให้เราไม่ต้องซ้อมอีก เมื่อพบเทคนิคประเภทนี้ในบทเพลงและแบบฝึกหัดต่างๆ
2. ทำให้เราสามารถควบคุมเทคนิคต่างๆ ทั้ง เทคนิครูปปาก (Embouchure Technique) และ เทคนิคนิ้ว (Finger Technique) ได้ดี
การซ้อมบันไดเสียงและอาร์เปจโจจะทำให้เกิดความแม่นยำของรูปปากที่เหมาะสมกับระดับเสียงต่างๆ และทำให้สามารถควบคุมนิ้วมือทุกนิ้วในการเปิดปิดแป้นกดต่างๆ อย่างแม่นยำและสม่ำเสมอ
ซ้อมบันไดเสียงและอาร์เปจโจอย่างไร?
การซ้อมบันไดเสียงและอาร์เปจโจมีหลักเกณฑ์และวิธีการดังนี้
1. ซ้อมให้ช้าที่สุด ความเร็วที่เหมาะสมในเบื้องแรกคือโดยเล่นเป็นโน้ตเขบ็ต 1 ชั้น ()
2. ซ้อมกับเครื่องจับจังหวะ (Metronome) โดยเล่นให้ตรงจังหวะอย่างแม่นยำทั้งจังหวะยกและจังหวะตก
3. อย่าดูโน้ต หมายถึงต้องจำให้ได้ ซ้อมให้เหมือนท่องสูตรคูณ
4. ควรเล่นเป็น "Legato" ก่อน เพราะจะทำให้เราสามารถรู้ได้ทันทีถ้านิ้วแต่ละนิ้วเปิดปิดแป้นกดได้ไม่แม่นยำจนทำให้เกิดเสียงอื่นแทรกเข้ามา ต่อเมื่อชำนาญแล้วจึงควรซ้อม Articulations** แบบอื่นๆ ต่อไป
5. อย่าเกร็งนิ้ว ทำนิ้วให้เบาๆ และไม่ควรยกนิ้วสูง จำไว้ว่าถ้าเราเกร็งนิ้วเราจะไม่สามารถเล่นเร็วได้เลย ไม่มีประโยชน์ถ้าซ้อมโดยการเกร็งนิ้ว (อย่าซ้อมดีกว่า)
6. ทำให้โน้ตทุกตัวสม่ำเสมอกัน ซึ่งหมายถึงการกดและปล่อยนิ้วแต่ละนิ้วในเวลาที่เหมาะสม
7. อย่าเกร็งปาก ยิ่งเป่าเสียงสูงขึ้น ยิ่งจะต้องออกแรงโดยใช้กล้ามเนื้อบริเวณท้อง (Support) มากขึ้น ถ้าเราออกแรงที่ท้องไม่พอ เราจะไปออกแรงที่ปากแทน คือจะทำให้เกิดการบีบปากเพื่อเป่าเสียงสูง
8. พยายามอย่าให้เสียงเพี้ยน โดยปรกติ โน้ตตัวที่ 7 (Leading Note) ของทั้งบันไดเสียงเมเจอร์และไมเนอร์จะต้องสูงขึ้นกว่าปรกติเล็กน้อย และโน้ตตัวที่ 3 (Mediant) ของบันไดเสียงเมเจอร์จะต้องต่ำลงเล็กน้อย เป็นต้น นอกจากนั้นทุกคนมีแนวโน้มที่จะเป่าเสียงต่ำเพี้ยนต่ำและเป่าเสียงสูงเพี้ยนสูง เหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง
9. มีความเข้าใจอย่างถูกต้องว่า “การที่เราจะสามารถเล่นเร็วได้ไม่ใช่เพราะการพยายามเล่นให้เร็ว แต่เพราะเราเล่นช้าได้สมบูรณ์แบบต่างหาก”