ถาม พิณตัวแรก ซื้อพิณโปร่งหรือพิณไฟฟ้าดี
ตอบ ขึ้นกับหลายปัจจัยครับ เช่น
1.เสียง พิณโปร่งจะมีกลิ่นไอของธรรมชาติที่ได้จากไม้มากกว่าพิณไปไฟฟ้าครับ
2.ความแรง แน่นอนว่า พิณไฟฟ้าย่อมแรงกว่า เนื่องจากมีอุปกรณ์ช่วยขยายเสียง
3.ความสะดวก เป็นอีกปัจจัยที่ต้องคิดว่าจะเอาพิณไปเล่นที่ไหน มีไฟฟ้าหรือไม่ สามารถขนย้ายอุปกรณ์ไปได้ไหม
4.งบประมาณ พิณโปร่งราคาต่ำสุดคือ ประมาณ700 บาท แต่โปร่งไฟฟ้าประมาณ 1600ขึ้น
5.วิธีการเล่น พิณโปร่งจะค่อนข้างยากสำหรับมือใหม่ตรงที่การกดสายพิณที่ค่อนข้างแข็งและสูง ทำให้เจ็บมือมากกว่าการเล่นพิณไฟฟ้า แต่ถ้าสามารถผ่านไปได้ ก็เปรียบเหมือนคนหัดขับรถเกียร์กระปุกที่ไปขับรถเกียร์ออโต้นั่นล่ะครับ
6.ความชอบของคุณ สุดท้าย สำคัญที่สุด คือ คุณชอบอะไร จัดไป อย่าไปฟังเสียงคนรอบข้างเยอะ คุณเล่น ความสุขของคุณ คนอื่นไม่เกี่ยว จริงๆนะ
ตอบ ขึ้นกับหลายปัจจัยครับ เช่น
1.เสียง พิณโปร่งจะมีกลิ่นไอของธรรมชาติที่ได้จากไม้มากกว่าพิณไปไฟฟ้าครับ
2.ความแรง แน่นอนว่า พิณไฟฟ้าย่อมแรงกว่า เนื่องจากมีอุปกรณ์ช่วยขยายเสียง
3.ความสะดวก เป็นอีกปัจจัยที่ต้องคิดว่าจะเอาพิณไปเล่นที่ไหน มีไฟฟ้าหรือไม่ สามารถขนย้ายอุปกรณ์ไปได้ไหม
4.งบประมาณ พิณโปร่งราคาต่ำสุดคือ ประมาณ700 บาท แต่โปร่งไฟฟ้าประมาณ 1600ขึ้น
5.วิธีการเล่น พิณโปร่งจะค่อนข้างยากสำหรับมือใหม่ตรงที่การกดสายพิณที่ค่อนข้างแข็งและสูง ทำให้เจ็บมือมากกว่าการเล่นพิณไฟฟ้า แต่ถ้าสามารถผ่านไปได้ ก็เปรียบเหมือนคนหัดขับรถเกียร์กระปุกที่ไปขับรถเกียร์ออโต้นั่นล่ะครับ
6.ความชอบของคุณ สุดท้าย สำคัญที่สุด คือ คุณชอบอะไร จัดไป อย่าไปฟังเสียงคนรอบข้างเยอะ คุณเล่น ความสุขของคุณ คนอื่นไม่เกี่ยว จริงๆนะ
ถาม ผมมือใหม่พึงจะฝึกเล่นพิณนะครับมีเรื่องขอรบกวนอาจารย์ทุกๆท่านหน่อยเรื่องของสายพิณนะครับพอดีสายพิณผมขาดเราใช่สายกีต้าแทนได้ใหมครับถ้าใช้ได้เราควรใช้สายกีต้าโปร่งหรือกีต้าไฟฟ้าครับ
ตอบ เหตุที่แต่ละคนใช้สายไม่เหมือนกัน ก็เพราะความชอบส่วนตัวในเสียงที่ออกมาครับ ถ้าใช้สายเล็กเสียงจะออกโทนแหลม แต่ถ้าใหญ่ขึ้นโทนเสียงก็จะทุ้มมากขึ้นครับ ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวอะไร ถ้าอยากได้กลางๆ ก็ 234 ถ้าอย่างแหลมมากก็ 123, แหลมน้อยหน่อยก็ 134 แต่ถ้าจะให้แนะนำ มือใหม่ควรใช้ 234 สายจะใหญ่และแข็ง ฝึกนิ้วได้ดีมากแต่จะเจ็บมากเช่นกันครับ ถ้าผ่านสายใหญ่ไปได้ จะสะดวกเวลาเล่นสายเล็กครับ
ตอบ เหตุที่แต่ละคนใช้สายไม่เหมือนกัน ก็เพราะความชอบส่วนตัวในเสียงที่ออกมาครับ ถ้าใช้สายเล็กเสียงจะออกโทนแหลม แต่ถ้าใหญ่ขึ้นโทนเสียงก็จะทุ้มมากขึ้นครับ ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวอะไร ถ้าอยากได้กลางๆ ก็ 234 ถ้าอย่างแหลมมากก็ 123, แหลมน้อยหน่อยก็ 134 แต่ถ้าจะให้แนะนำ มือใหม่ควรใช้ 234 สายจะใหญ่และแข็ง ฝึกนิ้วได้ดีมากแต่จะเจ็บมากเช่นกันครับ ถ้าผ่านสายใหญ่ไปได้ จะสะดวกเวลาเล่นสายเล็กครับ
ถาม ควรเริ่มต้นฝึกจากตรงไหน
ตอบ ควรเริ่มจากการสร้างพื้นฐานให้แข็งแรงครับ การใช้นิ้วมือซ้ายกดต้องแข็งแรงและควบคุมแยกประสาทนิ้วได้ดี มือขวาต้องดีดตามวิธีที่เหมาะสม ฝึกความสัมพันธ์ของทั้งสองมือ หลังจากนั้นคือฝึกจังหวะและเข้าสู่ลายเพลง หากพื้นฐานดีจะเป็นประโยชน์และง่ายมากเมื่อเข้าสู่การฝึกเพลง
ตอบ ควรเริ่มจากการสร้างพื้นฐานให้แข็งแรงครับ การใช้นิ้วมือซ้ายกดต้องแข็งแรงและควบคุมแยกประสาทนิ้วได้ดี มือขวาต้องดีดตามวิธีที่เหมาะสม ฝึกความสัมพันธ์ของทั้งสองมือ หลังจากนั้นคือฝึกจังหวะและเข้าสู่ลายเพลง หากพื้นฐานดีจะเป็นประโยชน์และง่ายมากเมื่อเข้าสู่การฝึกเพลง
ถาม ทำไมพิณสามสายต้องตั้งสาย แบบ " มี ลา มี"
ตอบ แต่เดิมไม่ได้กำหนดว่าจะต้องตั้งสายแบบไหน เพราะไม่มีช่องขั้นแบบพิณในปัจจุบัน ขอแค่ให้เป็นทางสายกลาง ไม่ตึง ไม่หย่อนจนเกิดไป (คุ้นๆไหมครับ) ผู้ดีดจึงต้องใช้ความสามารถส่วนตัวในการตึงสายและดีดให้ได้เสียงที่แตกต่างกันออกมา คล้ายๆกับซอในปัจจุบันนั่นเอง ต่อมาได้รับอิทธิพลจากกีตาร์ เพื่อให้ง่ายต่อการตึงสายและเล่น จึงได้มีการเอาเฟรทมาใช้ และรับเอาระบบการตั้งสายของกีตาร์มาใช้ เป็นรูปแบบ แต่ละสายห่างกัน 4 ครึ่งเสียง
แต่เดิม พิณถูกแบ่งช่องแบบเดียวกับกีตาร์ คือเป็นช่องที่มีขนาดใกล้เคียงกัน เมื่อขึงสายแล้ว เสียงที่ถูกตึงโดยแต่ละช่อง จะห่างกัน ครึ่งเสียงโน้ต จึงพยายามหาวิธีที่ง่ายต่อการกดสาย ด้วยการทำให้แต่ละสายมีเสียงต่างกัน สี่ช่องเพื่อให้นิ้วทั้งสี่นิ้วกด และเมื่อย้ายไปกดที่สายถัดไปก็จะได้อีกสีช่อง โดยโน้ตสายนี้ จะต่อเนื่องกับสายที่ติดกันเสมอ
แม่จะมีรูปแบบที่กำหนดโดยการใช้นิ้วสี่นิ้วให้ต่อเนื่องเป็นสำคัญ แต่ก็ยังไม่ได้กำหนดตายตัวว่าจะต้องตั้งสายแบบไหน หรือเริ่มโน้ตอะไรเป็นตัวแรก ต่อมาได้มีครูอาจารย์ได้ตั้งพิณเป็นเสียง "มีลามี" เพื่อประโยชน์ของการต่อเนื่องของโน้ตและในการใช้นิ้วสี่นิ้วเป็นหลัก จึงได้เริ่มเล่นและตั้งสายแบบ "มีลามี" เป็นต้นมา แต่ก็ยังมีครูอาจารย์ท่านอื่นที่ยังตั้งสายแตกต่างกันตามวิธีการเล่นของแต่ละคน
จุดเปลี่ยนสำคัญต่อมา คือการที่ครูอาจารย์ท่านสามารถย้ายขั้นเสียง(เฟรท)ขณะเล่น ตามลายเพลงและเสียงที่ต้องการ เนื่องจากสมัยก่อน ช่างพิณมักจะสร้างขั้นเสียงด้วยไม้ไผ่ติดด้วยขี้สูด จึงสามารถเคลื่อนย้ายได้ตามต้องการ ทำให้หล่นหายบ้าง ครูอาจารย์ท่านก็ย้ายส่วนที่ไม่จำเป็นต้องใช้มาติดไว้กับช่องที่จำเป็นเท่านั้น จึงเกิดเป็นรูปแบบที่เห็นในปัจจุบันที่ช่องจะไม่เหมือนช่องกีตาร์ทั้งหมด ไม่ใส่ขั้นเสียงที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป
เมื่อไม่ใส่ขั้นเสียงทุกขั้น จึงเกิดข้อจำกัดมากขึ้น ทำให้เปลี่ยนแปลงได้ยากขึ้น หรือหากจะเปลี่ยนแปลง รูปแบบการเล่นก็จะเปลี่ยนไป บางช่องอาจมีโน้ตครึ่งเสียงปนเข้ามา ยกตัวอย่างเช่น
1.การไม่ใส่ขั้นเสียง ที่สี่ และที่หก บังคับให้ ขั้นที่ห้าและขั้นที่เจ็ดต้องเป็นโน้ตเสียงเต็ม และ
2.ขั้นที่เจ็ดต้องเป็นเสียงเต็ม และขั้นที่แปดต้องเป็นเสียงเต็มที่ห่างจากขึ้นที่เจ็ดครึ่งเสียง เช่น ขั้นที่เจ็ด ต้องเป็นโน้ต B หรือ E เท่านั้น และขั้นที่แปดต้องเป็น BC หรือ EF เท่านั้น
นี่คือที่มา และการบังคับให้ต้องใช้การตั้งสายแบบ "มีลามี" หรือ "ลามีลา"
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่ได้เป็นข้อจำกัดตายตัวร้อยเปอร์เซ็น ที่จะต้องตั้งสายแบบ มีลามี เท่านั้น เพราะดนตรีก็คือศิลปะแขนงหนึ่ง ที่สามารถโลดแล่นไปได้ตามจินตนาการของผู้เล่นอย่างแท้จริง อย่าให้วัฒนธรรม หรือสังคม หรือวิธีการ หรือคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์มาจำกัดจำเกณฑ์ ว่าต้องเล่นแบบนี้อย่างเดียว หากเล่นแบบอื่นคือสิ่งผิด
สักวันคุณอาจอยากเอาไม้ไผ่ติดขี้สูดมาเติมช่องที่เหลือ แล้วตั้งสายในแบบที่ต้องการ หรืออาจตั้งสายในแบบที่ต้องแล้วเล่นไปตามใจปรารถนา ก็ไม่มีใครว่าหรอกครับ เสียงพิณที่กังวาลออกมาคือความจริงที่สุดของพิณ
ตอบ แต่เดิมไม่ได้กำหนดว่าจะต้องตั้งสายแบบไหน เพราะไม่มีช่องขั้นแบบพิณในปัจจุบัน ขอแค่ให้เป็นทางสายกลาง ไม่ตึง ไม่หย่อนจนเกิดไป (คุ้นๆไหมครับ) ผู้ดีดจึงต้องใช้ความสามารถส่วนตัวในการตึงสายและดีดให้ได้เสียงที่แตกต่างกันออกมา คล้ายๆกับซอในปัจจุบันนั่นเอง ต่อมาได้รับอิทธิพลจากกีตาร์ เพื่อให้ง่ายต่อการตึงสายและเล่น จึงได้มีการเอาเฟรทมาใช้ และรับเอาระบบการตั้งสายของกีตาร์มาใช้ เป็นรูปแบบ แต่ละสายห่างกัน 4 ครึ่งเสียง
แต่เดิม พิณถูกแบ่งช่องแบบเดียวกับกีตาร์ คือเป็นช่องที่มีขนาดใกล้เคียงกัน เมื่อขึงสายแล้ว เสียงที่ถูกตึงโดยแต่ละช่อง จะห่างกัน ครึ่งเสียงโน้ต จึงพยายามหาวิธีที่ง่ายต่อการกดสาย ด้วยการทำให้แต่ละสายมีเสียงต่างกัน สี่ช่องเพื่อให้นิ้วทั้งสี่นิ้วกด และเมื่อย้ายไปกดที่สายถัดไปก็จะได้อีกสีช่อง โดยโน้ตสายนี้ จะต่อเนื่องกับสายที่ติดกันเสมอ
แม่จะมีรูปแบบที่กำหนดโดยการใช้นิ้วสี่นิ้วให้ต่อเนื่องเป็นสำคัญ แต่ก็ยังไม่ได้กำหนดตายตัวว่าจะต้องตั้งสายแบบไหน หรือเริ่มโน้ตอะไรเป็นตัวแรก ต่อมาได้มีครูอาจารย์ได้ตั้งพิณเป็นเสียง "มีลามี" เพื่อประโยชน์ของการต่อเนื่องของโน้ตและในการใช้นิ้วสี่นิ้วเป็นหลัก จึงได้เริ่มเล่นและตั้งสายแบบ "มีลามี" เป็นต้นมา แต่ก็ยังมีครูอาจารย์ท่านอื่นที่ยังตั้งสายแตกต่างกันตามวิธีการเล่นของแต่ละคน
จุดเปลี่ยนสำคัญต่อมา คือการที่ครูอาจารย์ท่านสามารถย้ายขั้นเสียง(เฟรท)ขณะเล่น ตามลายเพลงและเสียงที่ต้องการ เนื่องจากสมัยก่อน ช่างพิณมักจะสร้างขั้นเสียงด้วยไม้ไผ่ติดด้วยขี้สูด จึงสามารถเคลื่อนย้ายได้ตามต้องการ ทำให้หล่นหายบ้าง ครูอาจารย์ท่านก็ย้ายส่วนที่ไม่จำเป็นต้องใช้มาติดไว้กับช่องที่จำเป็นเท่านั้น จึงเกิดเป็นรูปแบบที่เห็นในปัจจุบันที่ช่องจะไม่เหมือนช่องกีตาร์ทั้งหมด ไม่ใส่ขั้นเสียงที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป
เมื่อไม่ใส่ขั้นเสียงทุกขั้น จึงเกิดข้อจำกัดมากขึ้น ทำให้เปลี่ยนแปลงได้ยากขึ้น หรือหากจะเปลี่ยนแปลง รูปแบบการเล่นก็จะเปลี่ยนไป บางช่องอาจมีโน้ตครึ่งเสียงปนเข้ามา ยกตัวอย่างเช่น
1.การไม่ใส่ขั้นเสียง ที่สี่ และที่หก บังคับให้ ขั้นที่ห้าและขั้นที่เจ็ดต้องเป็นโน้ตเสียงเต็ม และ
2.ขั้นที่เจ็ดต้องเป็นเสียงเต็ม และขั้นที่แปดต้องเป็นเสียงเต็มที่ห่างจากขึ้นที่เจ็ดครึ่งเสียง เช่น ขั้นที่เจ็ด ต้องเป็นโน้ต B หรือ E เท่านั้น และขั้นที่แปดต้องเป็น BC หรือ EF เท่านั้น
นี่คือที่มา และการบังคับให้ต้องใช้การตั้งสายแบบ "มีลามี" หรือ "ลามีลา"
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่ได้เป็นข้อจำกัดตายตัวร้อยเปอร์เซ็น ที่จะต้องตั้งสายแบบ มีลามี เท่านั้น เพราะดนตรีก็คือศิลปะแขนงหนึ่ง ที่สามารถโลดแล่นไปได้ตามจินตนาการของผู้เล่นอย่างแท้จริง อย่าให้วัฒนธรรม หรือสังคม หรือวิธีการ หรือคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์มาจำกัดจำเกณฑ์ ว่าต้องเล่นแบบนี้อย่างเดียว หากเล่นแบบอื่นคือสิ่งผิด
สักวันคุณอาจอยากเอาไม้ไผ่ติดขี้สูดมาเติมช่องที่เหลือ แล้วตั้งสายในแบบที่ต้องการ หรืออาจตั้งสายในแบบที่ต้องแล้วเล่นไปตามใจปรารถนา ก็ไม่มีใครว่าหรอกครับ เสียงพิณที่กังวาลออกมาคือความจริงที่สุดของพิณ