หาครูที่เก่งเล่น เก่งเข้าใจ เก่งสอน เก่งแก้ไข :จุดสำคัญที่ห้ามมองข้าม
เรียนดนตรีที่ไหนดี?
คำถามนี้เป็นคำถามที่พบบ่อย
สมัยที่ผู้เขียนสอบสัมภาษณ์เข้าเรียนที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์ผู้เขียนท่านหนึ่งคือ ผศ. พ.อ. (พิเศษ) ชูชาติ พิทักษากร1
ท่านได้ถามผู้เขียนถึงวัตถุประสงค์ในการเรียนดนตรีในระดับมหาวิทยาลัยของตัวผู้เขียนว่าคืออะไร?
ผู้เขียนได้ตอบไปตามความตั้งใจในขณะนั้นว่า “ต้องการจะเป็น Virtuoso”
ท่านได้ถามต่อไปว่า “แล้ว Virtuoso คืออะไร?”
ผู้เขียนจำไม่ได้แล้วว่าได้ตอบท่านไปว่าอย่างไร แต่คำตอบของผู้เขียนไม่ตรงใจท่านนัก ท่านได้บอกกับผู้เขียนว่า “Virtuoso ควรแปลว่า นักดนตรีที่มีความสามารถในการเล่นเทคนิคขั้นสูง2”
จากนั้นท่านได้ถามต่อไปอีกถึงคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นครู
ผู้เขียนได้กราบเรียนท่านไปว่า “ครูดนตรีไม่จำเป็นต้องเก่งนัก แต่จะต้องเป็นผู้ที่สามารถทำให้ลูกศิษย์เก่งได้”
คำตอบของผู้เขียนไม่ได้ทำให้ท่านพอใจเลย ท่านไม่ได้ตำหนิผู้เขียน แต่ได้ค้านว่า “ถ้าครูไม่เก่ง แล้วจะสอนให้ลูกศิษย์เก่งได้อย่างไร?”...
วัตถุประสงค์ในการเรียนดนตรีของแต่ละบุคคลย่อมไม่เหมือนกัน สำหรับผู้ที่เรียนเพื่อสนุกอย่างเดียวก็อาจไม่จำเป็นต้องเรียนกับครูที่เก่งนัก แต่สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนเพื่อให้เก่งหรือเรียนเผื่อว่าจะเก่ง หรือเผื่อว่าอยากจะเก่งในภายหลัง การมีครูที่สามารถสอนและแนะนำแนวทางที่ถูกต้องให้ได้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก
มีความเข้าใจผิดกันมากว่า การเรียนดนตรีไม่จำเป็นต้องเรียนกับครูที่เก่ง โดยเฉพาะในการเรียนขั้นต้นไม่จำเป็นต้องเรียนกับครูที่เก่งก็ได้ บางคนอาจคิดว่าเรียนกับคนที่พอเล่นได้ก็พอแล้ว
อันที่จริง วัตถุประสงค์สำคัญของการเรียนดนตรีเบื้องต้น คือการเรียนเทคนิคพื้นฐานที่ถูกต้องที่จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการรองรับเทคนิคขั้นสูงๆ ต่อๆ ไป
ความคิดว่าการเรียนดนตรีเบื้องต้นไม่จำเป็นต้องเรียนกับครูที่เก่ง จึงอาจไม่ถูกต้องนัก
ดนตรีเป็นวิชาทักษะ – ครูจึงต้องสอนด้วยความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ของตน
เนื่องจากดนตรีเป็นวิชาทักษะที่ความรู้ความเข้าใจส่วนมากได้มาจากการฝึกซ้อม อีกนัยหนึ่งเป็นศิลปวิชาที่ความรู้ส่วนมากได้มาจากการเรียนรู้จากประสบการณ์ของตน
ด้วยเหตุนี้ครูดนตรีจึงจะต้องเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกซ้อมมามากจนกระทั่งเกิดความเชี่ยวชาญหรือเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ด้วยตนเอง
อันที่จริงการเรียนการสอนดนตรีไม่ใช่เป็นการเรียนการสอนไปตามตำรา แต่คือการเรียนจากประสบการณ์ของครูต่างหาก
หมายความว่า ครูที่ฝึกซ้อมมามากจนเข้าใจจริงๆ ย่อมสามารถบอกและแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้นักเรียนของตนได้
(ถ้าเรียนและสอนไปตามตำราอย่างเดียว จะมีครูไว้ทำไม?)
ครูที่มีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง จะสามารถเลือกตำราหรือแบบฝึกหัดที่เหมาะสมกับนักเรียนของตนได้ และรู้ด้วยว่าตำราและแบบฝึกหัดต่างๆ มีวัตถุประสงค์อย่างไร ฝึกแล้วจะได้อะไร ปัญหาอะไรบ้างที่จะถูกแก้ไป และสามารถจะรู้ได้ด้วยว่าจะใช้เวลานานเพียงใดในการเรียนและสอนแบบฝึกหัดเหล่านั้น
เพราะฉะนั้น การเรียนดนตรีแม้จะเป็นขั้นต้นก็ตาม ก็ควรเรียนกับครูที่เก่งไว้ก่อนจึงจะควร ผู้ที่ผ่านการฝึกซ้อมมามากจนกระทั่งสามารถเล่นได้แบบมืออาชีพ ย่อมเป็นเครื่องยืนยันไปได้ในตัวว่านักดนตรีผู้นั้นมีเทคนิคพื้นฐานที่ถูกต้อง และน่าจะสอนผู้เรียนในระดับเบื้องต้นให้มีเทคนิคพื้นฐานที่ถูกต้องได้เช่นเดียวกัน
อีกนัยหนึ่ง เนื่องจากผู้ที่มีปัญหาทางด้านเทคนิคพื้นฐานย่อมไม่สามารถเล่นเทคนิคขั้นสูง (Virtuoso Technique) ได้ การเรียนดนตรีแม้ในขั้นต้นกับครูที่สามารถเล่นเทคนิคขั้นสูงได้จึงนับเป็นเรื่องที่ปลอดภัยกว่า
โดยหลักการแล้ว ยิ่งได้เรียนกับอาจารย์ที่ยิ่งเก่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี แม้จะเป็นการเรียนในระดับเบื้องต้นก็ตาม แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเรียนกับนักดนตรีระดับโลก (เพราะไม่มีนักดนตรีระดับโลกคนไหนรับสอนนักเรียนที่เพิ่งเริ่มเรียน) หรือไม่จำเป็นจะต้องเรียนกับครูที่มีชื่อเสียงเสมอไป แต่ครูที่สอนนักเรียนในระดับต้นควรต้องเก่งในระดับหนึ่ง ซึ่งก็ควรเก่งในระดับมืออาชีพ
ครูที่สอนนักเรียนในระดับต้นควรเป็นครูที่สามารถสอนเทคนิคพื้นฐานที่ถูกต้องให้กับนักเรียนในระดับต้นได้ ซึ่งเทคนิคพื้นฐานดังกล่าวเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการศึกษาดนตรีในขั้นสูงๆ ต่อไปในอนาคต
“ครูดนตรีอาชีพ” คือ “นักดนตรีอาชีพ”
Sir James GALWAYS นักฟลูตคนสำคัญคนหนึ่งของยุคนี้ ได้กล่าวไว้ว่า
“ครูที่ไม่สามารถแสดงได้จะสอนลูกศิษย์ได้อย่างไร เพราะไม่สามารถเล่นให้ลูกศิษย์ดูได้...
ผมเลี้ยงชีพด้วยการแสดง ไม่ใช่ด้วยการสอน (I play for living, I don’t teach for living!)”
เรียนผิดติดลบ
การเรียนเทคนิควิธีการที่ผิดพลาด ย่อมส่งผลให้เกิดการฝึกซ้อมที่ผิดพลาด และการฝึกซ้อมที่ผิดพลาดนี้ย่อมจะก่อให้เกิดเป็นความเคยชินที่แก้ไขได้ยากในภายหลัง โดยเฉพาะเทคนิคพื้นฐานบางอย่างอาจต้องใช้ระยะเวลานานในการแก้ไข โดยอาจต้องใช้เวลาแก้ไขเป็นปี หรือหลายปี
การเรียนเทคนิควิธีการที่ผิดพลาด นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดพัฒนาการในทางบวกแล้ว ยังก่อให้เกิดผลในทางลบอีกด้วย ภายหลังเมื่อผู้เรียนกลับมาแก้ไขเทคนิคที่ผิดพลาดดังกล่าวอาจต้องใช้เวลานานกว่าการเริ่มต้นใหม่หลายเท่า
หมายเหตุ ผู้เขียนเขียนบทความนี้ขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจศึกษาดนตรีได้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องเท่านั้น โดยมุ่งแสดงข้อเท็จจริงเป็นหลัก
________________________________________
เชิงอรรถ
1 ผศ. พ.อ. (พิเศษ) ชูชาติ พิทักษากร เป็นนักไวโอลินที่ฝึกฝนตนเองมาอย่างหนักจนเข้าขั้น Virtuoso เมื่อท่านจบการศึกษาท่านได้รับเชิญให้สอนในสถาบัน Assc. of Royal College of Music (A.R.C.M.) ภายหลังท่านได้กลับมาประเทศไทย ได้รับราชการที่กองดุริยางค์ทหารบก และ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามลำดับ
คำถามนี้เป็นคำถามที่พบบ่อย
สมัยที่ผู้เขียนสอบสัมภาษณ์เข้าเรียนที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์ผู้เขียนท่านหนึ่งคือ ผศ. พ.อ. (พิเศษ) ชูชาติ พิทักษากร1
ท่านได้ถามผู้เขียนถึงวัตถุประสงค์ในการเรียนดนตรีในระดับมหาวิทยาลัยของตัวผู้เขียนว่าคืออะไร?
ผู้เขียนได้ตอบไปตามความตั้งใจในขณะนั้นว่า “ต้องการจะเป็น Virtuoso”
ท่านได้ถามต่อไปว่า “แล้ว Virtuoso คืออะไร?”
ผู้เขียนจำไม่ได้แล้วว่าได้ตอบท่านไปว่าอย่างไร แต่คำตอบของผู้เขียนไม่ตรงใจท่านนัก ท่านได้บอกกับผู้เขียนว่า “Virtuoso ควรแปลว่า นักดนตรีที่มีความสามารถในการเล่นเทคนิคขั้นสูง2”
จากนั้นท่านได้ถามต่อไปอีกถึงคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นครู
ผู้เขียนได้กราบเรียนท่านไปว่า “ครูดนตรีไม่จำเป็นต้องเก่งนัก แต่จะต้องเป็นผู้ที่สามารถทำให้ลูกศิษย์เก่งได้”
คำตอบของผู้เขียนไม่ได้ทำให้ท่านพอใจเลย ท่านไม่ได้ตำหนิผู้เขียน แต่ได้ค้านว่า “ถ้าครูไม่เก่ง แล้วจะสอนให้ลูกศิษย์เก่งได้อย่างไร?”...
วัตถุประสงค์ในการเรียนดนตรีของแต่ละบุคคลย่อมไม่เหมือนกัน สำหรับผู้ที่เรียนเพื่อสนุกอย่างเดียวก็อาจไม่จำเป็นต้องเรียนกับครูที่เก่งนัก แต่สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนเพื่อให้เก่งหรือเรียนเผื่อว่าจะเก่ง หรือเผื่อว่าอยากจะเก่งในภายหลัง การมีครูที่สามารถสอนและแนะนำแนวทางที่ถูกต้องให้ได้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก
มีความเข้าใจผิดกันมากว่า การเรียนดนตรีไม่จำเป็นต้องเรียนกับครูที่เก่ง โดยเฉพาะในการเรียนขั้นต้นไม่จำเป็นต้องเรียนกับครูที่เก่งก็ได้ บางคนอาจคิดว่าเรียนกับคนที่พอเล่นได้ก็พอแล้ว
อันที่จริง วัตถุประสงค์สำคัญของการเรียนดนตรีเบื้องต้น คือการเรียนเทคนิคพื้นฐานที่ถูกต้องที่จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการรองรับเทคนิคขั้นสูงๆ ต่อๆ ไป
ความคิดว่าการเรียนดนตรีเบื้องต้นไม่จำเป็นต้องเรียนกับครูที่เก่ง จึงอาจไม่ถูกต้องนัก
ดนตรีเป็นวิชาทักษะ – ครูจึงต้องสอนด้วยความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ของตน
เนื่องจากดนตรีเป็นวิชาทักษะที่ความรู้ความเข้าใจส่วนมากได้มาจากการฝึกซ้อม อีกนัยหนึ่งเป็นศิลปวิชาที่ความรู้ส่วนมากได้มาจากการเรียนรู้จากประสบการณ์ของตน
ด้วยเหตุนี้ครูดนตรีจึงจะต้องเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกซ้อมมามากจนกระทั่งเกิดความเชี่ยวชาญหรือเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ด้วยตนเอง
อันที่จริงการเรียนการสอนดนตรีไม่ใช่เป็นการเรียนการสอนไปตามตำรา แต่คือการเรียนจากประสบการณ์ของครูต่างหาก
หมายความว่า ครูที่ฝึกซ้อมมามากจนเข้าใจจริงๆ ย่อมสามารถบอกและแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้นักเรียนของตนได้
(ถ้าเรียนและสอนไปตามตำราอย่างเดียว จะมีครูไว้ทำไม?)
ครูที่มีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง จะสามารถเลือกตำราหรือแบบฝึกหัดที่เหมาะสมกับนักเรียนของตนได้ และรู้ด้วยว่าตำราและแบบฝึกหัดต่างๆ มีวัตถุประสงค์อย่างไร ฝึกแล้วจะได้อะไร ปัญหาอะไรบ้างที่จะถูกแก้ไป และสามารถจะรู้ได้ด้วยว่าจะใช้เวลานานเพียงใดในการเรียนและสอนแบบฝึกหัดเหล่านั้น
เพราะฉะนั้น การเรียนดนตรีแม้จะเป็นขั้นต้นก็ตาม ก็ควรเรียนกับครูที่เก่งไว้ก่อนจึงจะควร ผู้ที่ผ่านการฝึกซ้อมมามากจนกระทั่งสามารถเล่นได้แบบมืออาชีพ ย่อมเป็นเครื่องยืนยันไปได้ในตัวว่านักดนตรีผู้นั้นมีเทคนิคพื้นฐานที่ถูกต้อง และน่าจะสอนผู้เรียนในระดับเบื้องต้นให้มีเทคนิคพื้นฐานที่ถูกต้องได้เช่นเดียวกัน
อีกนัยหนึ่ง เนื่องจากผู้ที่มีปัญหาทางด้านเทคนิคพื้นฐานย่อมไม่สามารถเล่นเทคนิคขั้นสูง (Virtuoso Technique) ได้ การเรียนดนตรีแม้ในขั้นต้นกับครูที่สามารถเล่นเทคนิคขั้นสูงได้จึงนับเป็นเรื่องที่ปลอดภัยกว่า
โดยหลักการแล้ว ยิ่งได้เรียนกับอาจารย์ที่ยิ่งเก่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี แม้จะเป็นการเรียนในระดับเบื้องต้นก็ตาม แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเรียนกับนักดนตรีระดับโลก (เพราะไม่มีนักดนตรีระดับโลกคนไหนรับสอนนักเรียนที่เพิ่งเริ่มเรียน) หรือไม่จำเป็นจะต้องเรียนกับครูที่มีชื่อเสียงเสมอไป แต่ครูที่สอนนักเรียนในระดับต้นควรต้องเก่งในระดับหนึ่ง ซึ่งก็ควรเก่งในระดับมืออาชีพ
ครูที่สอนนักเรียนในระดับต้นควรเป็นครูที่สามารถสอนเทคนิคพื้นฐานที่ถูกต้องให้กับนักเรียนในระดับต้นได้ ซึ่งเทคนิคพื้นฐานดังกล่าวเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการศึกษาดนตรีในขั้นสูงๆ ต่อไปในอนาคต
“ครูดนตรีอาชีพ” คือ “นักดนตรีอาชีพ”
Sir James GALWAYS นักฟลูตคนสำคัญคนหนึ่งของยุคนี้ ได้กล่าวไว้ว่า
“ครูที่ไม่สามารถแสดงได้จะสอนลูกศิษย์ได้อย่างไร เพราะไม่สามารถเล่นให้ลูกศิษย์ดูได้...
ผมเลี้ยงชีพด้วยการแสดง ไม่ใช่ด้วยการสอน (I play for living, I don’t teach for living!)”
เรียนผิดติดลบ
การเรียนเทคนิควิธีการที่ผิดพลาด ย่อมส่งผลให้เกิดการฝึกซ้อมที่ผิดพลาด และการฝึกซ้อมที่ผิดพลาดนี้ย่อมจะก่อให้เกิดเป็นความเคยชินที่แก้ไขได้ยากในภายหลัง โดยเฉพาะเทคนิคพื้นฐานบางอย่างอาจต้องใช้ระยะเวลานานในการแก้ไข โดยอาจต้องใช้เวลาแก้ไขเป็นปี หรือหลายปี
การเรียนเทคนิควิธีการที่ผิดพลาด นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดพัฒนาการในทางบวกแล้ว ยังก่อให้เกิดผลในทางลบอีกด้วย ภายหลังเมื่อผู้เรียนกลับมาแก้ไขเทคนิคที่ผิดพลาดดังกล่าวอาจต้องใช้เวลานานกว่าการเริ่มต้นใหม่หลายเท่า
หมายเหตุ ผู้เขียนเขียนบทความนี้ขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจศึกษาดนตรีได้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องเท่านั้น โดยมุ่งแสดงข้อเท็จจริงเป็นหลัก
________________________________________
เชิงอรรถ
1 ผศ. พ.อ. (พิเศษ) ชูชาติ พิทักษากร เป็นนักไวโอลินที่ฝึกฝนตนเองมาอย่างหนักจนเข้าขั้น Virtuoso เมื่อท่านจบการศึกษาท่านได้รับเชิญให้สอนในสถาบัน Assc. of Royal College of Music (A.R.C.M.) ภายหลังท่านได้กลับมาประเทศไทย ได้รับราชการที่กองดุริยางค์ทหารบก และ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามลำดับ