ขอเริ่มต้นบทความนี้ ด้วยรูปทั้งสองด้านบนครับ
เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนถึงความแตกต่างและความเหมือนของดนตรี และงานปั้น
อาจารย์พิณแพรคำได้กล่าวกับผู้เขียนว่า โน้ตดนตรีเป็นเพียง "สิ่งบันทึกความจำ" อย่าทำให้เหมือน ต้องทำให้แตกต่าง
ผมพยายามหาคำตอบอยู่นาน เก็บความสงสัยว่าทำไมแต่ละคนเล่นพิณเพลงเดียวกันจึงต่างกัน
บางคนเล่นธรรมดาๆ แต่บางคนเล่นได้ไพเราะมาก
จนกระทั่งได้เห็นรูปทั้งสองด้านบน
อาจารย์หลายท่านปั้นและลงลวดลายบนแจกันได้งดงามเหมือนรูปขวามือ
นักเรียนหัดปั้นก็พยายามปั้นให้ได้รูปทรงแจกันและใส่ลายให้เหมือนของอาจารย์
ซึ่งเป็นการดีอย่างยิ่งที่จะทำเช่นนั้น
แต่ต้องไม่ลืมว่า อาจารย์ท่านก็เปลี่ยนลวดลายทุกครั้งที่ปั้นแจกันใบใหม่
อาจารย์ทองใส ทับถนนเอง ก็เปลี่ยนลวดลายทุกครั้ง(ย้ำว่า ทุกครั้ง) ที่เล่นพิณเพลงเดิม
จึงเป็นการดีกว่า ถ้าเลียนแบบเพื่อเรียนรู้ ว่า อะไรคือ "แจกัน" และอะไรคือ "ลวดลาย"
เมื่อแยกแจกัน และลวดลาย ออกจากกันได้ ต่อไปก็สามารถปั้นแจกันใบใหม่ในลวดลายเดิม หรือ จะใส่ลวดลายใหม่ๆ บนแจกันแบบเดิม หรือในที่สุด จะปั้นแจกันทรงใหม่ สร้างลวดลายใหม่ ก็ไม่มีใครว่า
หากต้องการให้ลายพิณคงอยู่และพัฒนา เรามาเรียนรู้จากแจกันกันเถอะ
เราควรแยกให้ได้ว่าอะไรคือลายพิณ และอะไรคือลวดลายที่ครูอาจารย์ท่านใส่ลงไป
เมื่อแยกได้แล้วว่าอะไรคือลายพิณ อะไรคือลวดลาย
เราก็เอาโน้ตลายพิณเดิมมาปั้นใหม่ ใส่สีตีไข่ ใส่ลวดลายใหม่ ให้รสแซ่บกว่าเดิมในแบบฉบับของผู้ปั้น
แน่นอนว่า เราก็เอาลวดลายจากครูอาจารย์นั่นล่ะมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
การสะสมสิ่งดีจากครูอาจารย์จึงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นครูชื่อดัง อาจารย์ใหญ่
ใครก็ได้ที่เล่นพิณแล้วรู้สึกว่ามีสิ่งดี เช่น การกรอปิ๊ค รีบไปฝากตัวเรียนกรอปิ๊คจากท่านซะ
ผสมจุดดีของหลายครู หลายอาจารย์ ปรับปรุงพัฒนาจุดด้อยของหลายครูหลายอาจารย์
เอามารวมเป็นหลายดีจากหลายครูที่ตัวเรา
เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนถึงความแตกต่างและความเหมือนของดนตรี และงานปั้น
อาจารย์พิณแพรคำได้กล่าวกับผู้เขียนว่า โน้ตดนตรีเป็นเพียง "สิ่งบันทึกความจำ" อย่าทำให้เหมือน ต้องทำให้แตกต่าง
ผมพยายามหาคำตอบอยู่นาน เก็บความสงสัยว่าทำไมแต่ละคนเล่นพิณเพลงเดียวกันจึงต่างกัน
บางคนเล่นธรรมดาๆ แต่บางคนเล่นได้ไพเราะมาก
จนกระทั่งได้เห็นรูปทั้งสองด้านบน
อาจารย์หลายท่านปั้นและลงลวดลายบนแจกันได้งดงามเหมือนรูปขวามือ
นักเรียนหัดปั้นก็พยายามปั้นให้ได้รูปทรงแจกันและใส่ลายให้เหมือนของอาจารย์
ซึ่งเป็นการดีอย่างยิ่งที่จะทำเช่นนั้น
แต่ต้องไม่ลืมว่า อาจารย์ท่านก็เปลี่ยนลวดลายทุกครั้งที่ปั้นแจกันใบใหม่
อาจารย์ทองใส ทับถนนเอง ก็เปลี่ยนลวดลายทุกครั้ง(ย้ำว่า ทุกครั้ง) ที่เล่นพิณเพลงเดิม
จึงเป็นการดีกว่า ถ้าเลียนแบบเพื่อเรียนรู้ ว่า อะไรคือ "แจกัน" และอะไรคือ "ลวดลาย"
เมื่อแยกแจกัน และลวดลาย ออกจากกันได้ ต่อไปก็สามารถปั้นแจกันใบใหม่ในลวดลายเดิม หรือ จะใส่ลวดลายใหม่ๆ บนแจกันแบบเดิม หรือในที่สุด จะปั้นแจกันทรงใหม่ สร้างลวดลายใหม่ ก็ไม่มีใครว่า
หากต้องการให้ลายพิณคงอยู่และพัฒนา เรามาเรียนรู้จากแจกันกันเถอะ
เราควรแยกให้ได้ว่าอะไรคือลายพิณ และอะไรคือลวดลายที่ครูอาจารย์ท่านใส่ลงไป
เมื่อแยกได้แล้วว่าอะไรคือลายพิณ อะไรคือลวดลาย
เราก็เอาโน้ตลายพิณเดิมมาปั้นใหม่ ใส่สีตีไข่ ใส่ลวดลายใหม่ ให้รสแซ่บกว่าเดิมในแบบฉบับของผู้ปั้น
แน่นอนว่า เราก็เอาลวดลายจากครูอาจารย์นั่นล่ะมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
การสะสมสิ่งดีจากครูอาจารย์จึงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นครูชื่อดัง อาจารย์ใหญ่
ใครก็ได้ที่เล่นพิณแล้วรู้สึกว่ามีสิ่งดี เช่น การกรอปิ๊ค รีบไปฝากตัวเรียนกรอปิ๊คจากท่านซะ
ผสมจุดดีของหลายครู หลายอาจารย์ ปรับปรุงพัฒนาจุดด้อยของหลายครูหลายอาจารย์
เอามารวมเป็นหลายดีจากหลายครูที่ตัวเรา